การกินโปรตีนจากสัตว์ทำให้เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
(รวมพวกผลิตภัณฑ์จากนมด้วย)
ดิฉันอ่านแล้วยังรู้สึกว่าเป็นความรู้ใหม่ที่ต้องค้นหา
ได้ความโดยสรุปว่า
การลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
ไม่ใช่การเพิ่มแคลเซี่ยมเพียวๆ หรือกินเม็ดแคลเซี่ยมเสริม
แต่เป็นการทำให้แคลเซี่ยม-ฟอสฟอรัส สมดุลกัน
ต่อให้เรากินแคลเซี่ยมไปเยอะแยะ แต่เอาไปใช้ไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์
มีการวิจัยของCornell-China-Oxford Project on Nutrition, Health and Environment,
โดยนักโภชนาการชีวเคมี T. Colin Campbell
เขาสรุปว่า
การกินเนื้อสัตว์ในปริมาณที่น้อย มีผลทำให้ลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกระดูก
รวมถึงผลิตภัณฑ์นมจากสัตว์ด้วย
T. Colin Campbell ได้เล่าว่า
คนอเมริกันที่กินนมจากสัตว์กันต่างน้ำเป็นโรคกระดูกพรุน
มากกว่าชาวเอเชียทีกินนมจากสัตว์กันน้อยกว่า
หรือจะเปรียบเทียบเอเชียด้วยกันแล้ว
T. Colin Campbell ได้ทดลองจากผู้หญิง 800 คนในจีน เทียบกับชาวมองโกเลีย
ชาวมองโกเลียที่กินเนื้อสัตว์ และนมจากสัตว์ปริมาณมาก
แต่กินผักน้อยมากๆ พบโรคกระดูกพรุนมากกว่า
ชาวจีนที่กินผักมากกว่า กินเนื้อสัตว์น้อยกว่า
นอกจากนี้ยังพบว่า คนที่กินมังสาวิรัติ มีความหนาแน่นของมวลกระดูกมากกว่า
รวมถึงเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือดหัวใจ
เพราะในเนื้อสัตว์มี ไขมันสูง แต่เส้นใยต่ำ
แต่ในพืชมี ไขมันต่ำ แต่เส้นใยสูง แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระเพียบอีกด้วย
.
T. Colin Campbell ได้ร่วมเขียนงานวิจัยใน
The American Journal of Clinical Nutrition (both 1993),
the European Journal of Clinical Nutrition (1994),
Osteoporosis International (1994),
และ Osteoporosis in Asia: Crossing the Frontiers
สรุปใจความสำคัญได้ว่า
การกินผลิตภัณฑ์จากสัตว์ มีผลทำให้สูญเสียแคลเซี่ยม
ออกมาทางปัสสาวะได้มากกว่าการกินพืช
เขาย้ำว่าการลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนนั้น
จงให้ความสำคัญกับการทานสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม
หรือให้ความสำคัญกับความสมดุลของอาหารที่หลากหลาย มากกว่าการเน้นกินแคลเซี่ยมเพียวๆ
.
ไม่พบลิงเป็นโรคกระดูกพรุน
ในส่วนของเวป gorillaprotein ซึ่งได้เปรียบเทียบคนกับกอลิล่า ซึ่งมีความใกล้เคียงกันที่สุด
เขาว่า ลิงกอลิล่า ไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่ผักผลไม้ แต่ไม่เคยเจอกอลิล่าตัวไหนเป็นโรคกระดูกพรุนเลย
.
เป็นเพราะอะไร
สาเหตุที่ทำให้การกินโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนเพราะว่า
ในโปรตีนจากเนื้อสัตว์ มีกรดอมิโน2ตัวที่ชื่อว่า เมไธโอนีน และ ซีสเตอีน
ที่มีกรดซัลเฟอร์รวมอยู่ด้วยกัน ในปริมาณที่มากกว่าโปรตีนในพืช
.
หมายถึงอะไรทราบมั้ยคะ
หมายถึงว่า ขณะที่ร่างกายเราเผาผลาญอาหาร ไอ้ตัวซัลเฟอร์ มันจะกลายเป็นกรดซัลฟิวริก
ถ้านึกไม่ออก มันคือ “กรดกำมะถัน” หรือเขาเรียกกันว่า “กรดแบตเตอรี่่” นั่นเอง
ซึ่งจริงๆแล้วร่างกายเรา ก็มีการผลิตกรดนี้มาปกติอยู่แล้ว แต่ถ้ากรดนี้มีปริมาณที่มากเกินไป
ร่างกายก็กำจัดไม่ไหวหรอกค่ะ แล้วจะเป็นยังไงต่อนั่นหรอคะ
.
ถังโฟมดับเพลิง
ไอ้เจ้ากรดกำมะถันนี้มันจะทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “metabolic acidosis”
หรือกรดในร่างกายเกิน ร่างกายจึงพยายาม หาแคลเซี่ยมเข้ามาดับกรด
เหมือนหาน้ำมาดับไฟ หรือโฟมขาวๆในถังดับเพลิง
จึงไปดึงแคลเซี่ยมจากกระดูกนั่นเอง
.
กำจัดโฟมยังไง
ทีนี้พอแคลเซี่ยมจากกระดูกถูกละลายสู่กระแสเลือด เพื่อมาดับกรด
แคลเซี่ยมก็เหลือสิคะ มันจะหายไปไหนได้นอกจากต้องถูกเนรเทศออกทางปัสสาวะ
แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ แคลเซี่ยม มันจะไปเกาะตัวกันที่ไต ทำให้เกิดนิ่วในไตตามมานั่นเอง
ในที่นี้เขารวมถึงทั้งเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากนมทั้งหลายด้วย เช่น ชีส นมวัว โยเกิร์ด นมเปรี้ยว
.
ชีวิตที่บาลานซ์
แต่ในความคิดเห็นส่วนตัวของดิฉันเอง ซึ่งผู้อ่านต้องใช้วิจารณญาณเอง
คือการมีงานวิจัยเหล่านี้ออกมานั้น
ไม่ได้หมายความว่าห้ามกินเนื้อสัตว์ ห้ามกินนมหรือโยเกิร์ต
แต่หมายถึง กินในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป อย่างบางคนกินนมวันละ1-2ลิตร แทนน้ำเลย
แบบนี้ถือว่าเยอะเกินเหตุ หรือกินแต่เนื้อสัตว์ปริมาณมากๆเกินไป
เราควรกินอาหารให้หลากหลาย ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป
เน้นอาหารจากพืชเป็นหลัก
อ้างอิงจาก
- news.cornell.edu/stories/1996/11/eating-less-meat-may-help-reduce-osteoporosis-risk by Susan S. Lang
- gorillaprotein.com/monkey_osteoporosis.html
กลับหน้าแรก ezygodiet.com