น้ำมันมะพร้าว กับการลดน้ำหนัก
ตำราฝรั่งย้ำนักย้ำหนา ว่าควรจำกัดปริมาณกรดไขมันอิ่มตัว ไขมันอิ่มตัวเป็นของต้องห้าม จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้เริ่มมีกระแสของ น้ำมันมะพร้าว ซึ่งเป็นน้ำมันที่ให้ไขมันอิ่มตัวมากที่สุด ขัดต่อตำราอย่างแรง
ช่วงนี้บทความต่างประเทศ ก็เริ่มพูดถึงความดีของมะพร้าวกันมากขึ้น วันนี้ลองมาดูความคิดเห็นจากซูซาน โบเวอร์แมน MS, RD, CSSD, FAND. และที่ปรึกษาด้านสุขภาพของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง
มะพร้าวมีส่วนที่กินได้คือ น้ำกับเนื้อ ยิ่งมะพร้าวแก่ ยิ่งมีมีไขมันมาก ในส่วนของน้ำมะพร้าว ไม่มีไขมัน และให้พลังงานน้อยกว่าน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆ คือน้ำมะพร้าว 240 มล. ให้พลังงาน 50 แคลอรี่ และให้โพแทสเซียมเทียบได้กับกล้วยหอม 2 ลูก คือ 600 มก. สำหรับกะทิ คนไทยรู้จักกันดีอยู่แล้วไม่ต้องพูดถึง ซึ่งกะทิ 1 กล่อง 240 มล. ให้พลังงาน 475 แคลอรี่ ซึ่งเป็นไขมัน 75%
น้ำมันมะพร้าว มีกรดไขมันอิ่มตัวถึง 90% ซึ่งมากกว่าน้ำมันทุกชนิด กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวในน้ำมันมะพร้าว เป็นแบบสายกลาง คำว่าสายกลาง ไม่ใช่ทางสายกลางนะ แต่เป็นการเรียงตัวทางเคมีของ อะตอมที่ชื่อว่า คาร์บอน คือ เรียงตัวต่อกันแบบไม่ยาวมากเหมือนน้ำมันชนิดอื่น
ในน้ำมันมะพร้าว จะมีสายคาร์บอนขนาดกลางนี้อยู่ถึง 60% ซึ่งน้ำมันชนิดอื่น จะมีสายคาร์บอนขนาดกลางอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นสายขนาดยาว
เหตุเพราะน้ำมันมะพร้าว มีคาร์บอนสายขนาดกลางนี้เอง จึงน่าจะถูกย่อยได้ง่ายกว่าเกิดการเผาผลาญได้เร็วกว่า แบบสายยาวๆ
องค์กรเกี่ยวกับสุขภาพของอเมริกา ได้แนะนำให้จำกัดการบริโภคไขมันอิ่มตัว ไม่เกิน 10% ของแคลอรี่ทั้งหมด ไม่ว่าไขมันอิ่มตัวนั้นจะมาจากอะไรก็ตาม
และไม่ว่าจะเป็นน้ำมันอะไรก็ตาม จะให้พลังงาน 120 แคลอรี่ต่อ1ช้อนโต๊ะ เหมือนกันหมด
สรุปความเห็นของ ซูซานได้ว่า ไม่ว่าเราจะเชื่อถือน้ำมันอะไรก็ตาม น้ำมันก็ยังคงให้พลังงาน ยังคงต้องจำกัดไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 10% ของแคลอรี่รวมทั้งวันอยู่ดี
.
สำหรับ ภญ.ธนิกา ปฐมวิชัยวัฒน์ ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ยกงานวิจัยจากบราซิล ที่เปรียบเทียบกลุ่มผู้หญิงอ้วนลงพุง ที่ให้กินน้ำมันมะพร้าว กับอีกกลุ่มที่ให้กินน้ำมันถั่วเหลือง วันละ 30 มล.เท่ากัน ปัจจัยการกินอาหาร การออกกำลังกายเหมือนกันหมด
สรุปว่า กลุ่มที่กินน้ำมันมะพร้าว การลดน้ำหนักไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มกินน้ำมันถั่วเหลือง กลุ่มกินน้ำมันมะพร้าว มีโคเลสเตอรอล และไขมันตัวร้าย (LDL)เท่าเดิม แต่มีไขมันตัวดี(HDL) เพิ่มขึ้น
แต่กลุ่มกินน้ำมันถั่วเหลือง มีโคเลสเตอรอล และไขมันตัวร้าย (LDL) เพิ่มขึ้น และ ไขมันตัวดี(HDL) ลดลง
แสดงให้เห็นว่า น้ำมันมะพร้าวไม่ได้มีผลต่อการลดน้ำหนัก ไม่ได้ทำให้ไขมันที่ก่อโรคหัวใจลดลง แต่ก็มีผลให้ ไขมันตัวดีเพิ่มขึ้น
แต่นี่ก็เป็นแค่งานวิจัยหนึ่ง ที่ใช้เวลาทดลองช่วงสั้นๆแค่ 12 สัปดาห์เท่านั้น ยังต้องรอการวิจัยต่อไป ยังไม่อาจสรุปได้แน่ชัดว่า น้ำมันมะพร้าวลดน้ำหนักได้หรือไม่ หรือลดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้หรือไม่
.
ในความคิดเห็นของแอดมินเอง ซึ่งก็ใช้น้ำมันมะพร้าวอยู่ เพราะเชื่อว่ามันดีกว่าน้ำมันถั่วเหลืองที่เคยใช้ และสารพัดประโยชน์จริงๆ ทั้งกิน ทั้งทา แต่จะเป็นการนำมาแทนน้ำมันที่เคยใช้อยู่ ไม่ใช่การเพิ่มจากที่ใช้อยู่
น้ำมันก็คือไขมัน ให้พลังงานเท่ากันหมด ถ้ากินเยอะ เราก็ได้รับพลังงานเยอะเหมือนกัน ถ้าไม่กินเลยก็ไม่ได้รับไขมันเลย ก็ไม่ดี
แอดมินไม่เลี่ยงกะทิเลย กินเป็นประจำ วันไหนกินกะทิแล้วก็จะไม่ใส่น้ำมันในอาหารเพิ่ม กะทิไม่ได้ทำให้อ้วน ถ้าแคลอรี่รวมทั้งวันไม่เกินนะ แต่ที่เขาแนะนำให้เลี่ยงอาหารที่มีกะทิเพราะว่า มันอร่อย และมักมีน้ำตาลปนอยู่มาก ทำให้มีโอกาสสูงที่จะกินเยอะ แต่ถ้าเรากินแบบมีลิมิต ก็ไม่เห็นต้องไปกลัว
มีการแนะนำให้กินน้ำมันเปล่าๆ วันละ 6-10 ช้อน เพื่อลดน้ำหนัก แอดมินไม่ค่อยเห็นด้วยซักเท่าไหร่ ถ้ากินแล้วแคลอรี่รวมทั้งวันไม่เกินกำหนด ก็ดีไป แต่ถ้าแคลอรี่รวมเกิน มันก็ทำให้อ้วนขึ้นอยู่ดี ไม่มีอาหารอะไรหรอกที่จะลดน้ำหนักได้ มีแต่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมโดยรวม แล้วจึงค่อยคิดหาตัวช่วยเพิ่ม
สำหรับงานวิจัย ถ้าจะหามาสนับสนุนว่าลดน้ำหนักได้มันก็มี หามาสนับสนุนว่ารักษาโรคได้ ลดโรคหัวใจได้ มันก็มี หามาค้านว่าไม่เกี่ยวกับการลดน้ำหนักก็มี มันขึ้นอยู่กับผู้เขียนว่าจะนำงานวิจัยมาสนับสนุนความคิดของตัวเองอย่างไร เราเป็นผู้บริโภคธรรมดา อีกฝ่ายว่าดี อีกฝ่ายว่าไม่เกี่ยว กลายเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล ที่ยังไม่มีหน่วยงานที่น่าเชื่อถือมายืนยัน
แต่ที่เราสามารถทำได้ตอนนี้คือ ยึดหลักการ สมดุลแคลอรี่ และ การแบ่งสัดส่วนอาหาร ที่พอดี (ลองดูปริมาณ ไขมันต่อวัน)
.
อ้างอิง
เรียบเรียงโดย ezygodiet.com