วิตามินน่ารู้
ถ้าย้อนกลับไปนับร้อยๆปีที่แล้ว ได้มีการค้นพบวิตามินชนิดแรกของโลก ซึ่งทำให้มนุษย์หลงรัก และตื่นเต้นกับสสารชนิดนี้มาก เพราะมันทำให้คนเรามีสุขภาพที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น
- สมัยก่อน เวลาออกเรือนานๆ พวกของสดๆจะเสียง่าย ลูกเรือก็ต้องกินแต่เนื้อสัตว์ ไม่ค่อยได้กินผัก ผลไม้ จึงเป็นโรคเลือดออกตามไรฟันกันมาก แต่พอมีคนค้นพบว่าให้ขนพวกมะนาว หรือส้มไปด้วย ก็สามารถลดโรคนี้ได้ทันที เพราะในผลไม้พวกนี้จะมีวิตามินซี ช่วยรักษาโรคนี้ได้
- ในศตวรรษที่19 พ่อแม่จะต้องให้ลูกกินน้ำมันตับปลา(ไม่ใช่น้ำมันปลานะ) เพื่อป้องกันโรคกระดูกอ่อน(rickets) แต่เมื่อปี 1922 มีนักวิทยาศาสตร์ ค้นพบวิตามินดี ที่ช่วยป้องกันโรคกระดูกอ่อน ซึ่งก็อยู่ในน้ำมันตับปลานั่นเอง
- เมื่อถึงยุคที่ ข้าวขาวเป็นที่นิยมมากกว่าข้าวกล้อง ทำให้ผู้คนเป็นโรคเหน็บชากันมากขึ้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์ชาวดัตช์ สังเกตุเห็นว่า ไก่ที่ก็กินข้าวขาวเหมือนกัน ก็เริ่มมีอาการเดียวกัน แต่พอไก่บังเอิญไปกินเศษรำข้าว หรือส่วนที่เหลือจากการขัดสีข้าว กลับพบว่าอาการนั้นก็หายไปด้วย เป็นเพราะว่ารำข้าวมีวิตามินบีอยู่นั่นเอง
ถ้าเราเป็นคนในยุคนั้น ก็คงรู้สึกเหมือนวิตามินเป็นยาวิเศษ รักษาได้ทุกโรคก็เป็นได้
ยาวิเศษเหล่านี้ ดั้งเดิมจะเรียกว่า “Vitamine”(vita แปลว่า ชีวิต) แต่พอค้นพบว่ามันไม่ได้มีส่วนประกอบของ Amines (สารประกอบอินทรีย์ชนิดหนึ่ง) ก็เลยตัดตัว e ออกไป กลายเป็น “Vitamin”
ในแรกเริ่ม วิตามินจะถูกตั้งชื่อตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ เช่น vitamin A , vitamin B , vitamin C แต่พอวิทยาการก้าวหน้าขึ้น ก็ค่อยมาค้นพบวิตามินที่มีโครงสร้างคล้ายกัน กับตัวเดิม เลยตั้งชื่อแบบแยกย่อยลงไปอีก เช่น vitamin B-1 , vitamin B-2 บางชื่อก็ตั้งตามโรคที่รักษาก็มี
.
วิตามินมากเกินไปจะเป็นอย่างไร
แม้ว่าร่างกายของเรา ต้องการวิตามินที่หลากหลายชนิด เพราะแต่ละชนิด ก็มีหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเป็นหน้าที่ที่สารอาหารอื่นๆทำแทนไม่ได้ โดยส่วนใหญ่จะทำหน้าที่หลักเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ในการทำหน้าที่ และการควบคุมปฏิกิริยาเคมีต่างๆ วิตามินยังมีส่วนส่วนสำคัญ เกี่ยวกับการปล่อยพลังงานจากอาหาร แต่ก็ไม่ได้ให้พลังงานด้วยตัวเอง
แต่วิตามินจะต้องเชื่อมต่อกับโปรตีนชนิดพิเศษ กลายเป็นเอนไซม์ที่ต้องทำหน้าที่เฉพาะต่อไป ถึงจะใช้ประโยชน์ได้ หมายความว่า ถ้าวิตามินมีมากเกินไป หาคู่โปรตีนจับไม่ได้ วิตามินก็ต้องลอยอยู่เดี่ยวๆ ก็จะไม่มีประโยชน์อะไร แต่กลับกลายเป็นพิษทำลายร่างกายเราได้ด้วย เพราะอย่าลืมว่า วิตามินก็คือสารเคมีตัวหนึ่งเช่นกัน
บางที่จะจัดวิตามินอยู่ในกลุ่ม สารอาหารรอง (micronutrients) เพราะร่างกายเรา ต้องการในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น โดยมีการแบ่งวิตามินเป็น 2 ชนิด ได้แก่
วิตามินที่ละลายเฉพาะในน้ำ
ที่สำคัญได้แก่ Vitamin B-complex และ Vitamin C ซึ่งวิตามินเหล่านี้จะไหลไปตามเส้นเลือด และจะไม่มีการเก็บสะสม ถ้าเหลือใช้ก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะ ดังนั้นการบริโภคอาหารที่มีวิตามินกลุ่มนี้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับบ่อยๆ เป็นระยะๆ นอกจากนี้วิตามินกลุ่มนี้ ยังถูกทำลายได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเก็บรักษา การปรุง การโดนแสง หรือความร้อนอีกด้วย
วิตามินที่ละลายเฉพาะในไขมัน
ที่สำคัญได้แก่ Vitamin A , Vitamin D , Vitamin E และ Vitamin K วิตามินกลุ่มนี้จะไหลไปตามเส้นเลือดได้โดยการจับกับไขมัน และก็ถูกเก็บสะสม ไปพร้อมๆกับไขมันได้ด้วย ดังนั้นอาจไม่จำเป็นต้องได้รับบ่อยๆ
.
.
สรุปหน้าที่และปริมาณที่ควรได้รับของวิตามินแต่ละชนิด
วิตามินที่ละลายเฉพาะในไขมัน
Vitamin A
หน้าที่ : ช่วยเรื่องการมองเห็นในที่มืด บำรุงผิว กระดูก และอวัยวะสืบพันธุ์ นอกจากนี้วิตามินเอ ยังช่วยปกป้องร่างกาย จากการติดเชื้อบริเวณผิวหนัง เนื้อเยื่อในช่องปาก กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ระบบหายใจ อวัยวะสืบพันธุ์ และทางเดินปัสสาวะ โดยเบต้า-แคโรทีนในอาหาร จะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย เพื่อทำหน้าที่ลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งบางชนิด และโรคหัวใจอีกด้วย
ถ้าน้อยเกินไป : ทำให้มองในที่มืดไม่ชัด ตาแห้ง ตาติดเชื้อง่าย ผิวหนังแห้ง ระบบสืบพันธุ์มีปัญหา และมีการเติบโตช้า
ถ้ามากเกินไป : เนื่องจากวิตามินเอ สามารถเก็บสะสมในร่างกายได้โดยยืดเกาะกับไขมัน ดังนั้นก็มีโอกาสที่เราจะมีวิตามินเอในเลือด มากเกินความจำเป็น โดยจะทำให้เกิดอาการปวดหัว ผิวหนังแห้งเป็นสะเก็ด ตับเสื่อม ปวดข้อและกระดูก อาเจียน เบื่ออาหาร ระบบประสาทถูกทำลาย ถ้ากำลังตั้งครรภ์ก็อาจทำให้เด็กเกิดความผิดปกติได้
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 3,000 ไมโครกรัมต่อวัน ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ในผู้ชายควรได้รับ 900 ไมโครกรัม และในผู้หญิงควรได้รับ 700 ไมโครกรัม
แหล่งอาหาร : ร่างกายสามารถได้รับวิตามินเอ 2 รูปแบบ คือ แบบ เรตินอล (retinols) และ แบบ เบต้า-แคโรทีน (beta-carotene) สำหรับแบบเรตินอลจะพบได้ในอาหารที่มาจากสัตว์ เช่นเนื้อสัตว์ นมเสริมวิตามินเอ น้ำมันปลา และไข่ ส่วนเบต้า-แคโรทีน จะพบได้ในพืชผักผลไม้ ที่มีสีแดง เหลือง และส้ม
.
Vitamin D
หน้าที่ : มีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส แล้วยังช่วยนำแคลเซียม กับฟอสฟอรัสเข้าไปเสริมสร้างกระดูกและฟันได้ด้วย
ถ้าน้อยเกินไป : สำหรับเด็ก อาจทำให้เป็นโรคกระดูกอ่อน (ทั้งกระดูก และฟันอ่อนแอ) สำหรับผู้ใหญ่ อาจทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน
ถ้ามากเกินไป : นิ่วในไต ไตเสื่อม กระดูกอ่อนแอ เลือดออกง่าย กล้ามเนื้ออ่อนแอ
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 4,000 IUต่อวัน
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : อายุไม่เกิน 70 ปี ควรได้รับ 600 IU อายุ 70 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 800 IUต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบได้ในเนื้อปลา น้ำมันตับปลา และนม รวมถึงผลิตภัณฑ์จากนม นอกจากนี้บางที่จะเรียกวิตามินดีว่า “วิตามินจากแสงแดด” เพราะเมื่อแสงแดดส่องผ่านผิวหนัง วิตามินดีจะถูกสร้างขึ้นมา โดยถ้าแสงแดดโดนผิวหนัง 1ชั่วโมงครึ่ง -2 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ บวกกับการได้รับสารอาหารอื่นๆที่พอเหมาะ คุณก็จะได้วิตามินดีอย่างเพียงพอ สำหรับคนที่ไม่ค่อยโดนแดด ก็ควรได้รับจากอาหารมากขึ้น (ระวังอย่าตากแดดมากเกินไปละกัน)
.
Vitamin E
หน้าที่ : เรียกว่าเป็นบอดี้การ์ด สำหรับร่างกายของเราเลยก็ว่าได้ เพราะวิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันปฏิกิริยาเคมีที่เรียว่า “ออกซิเดชั่น” ซึ่งบางครั้ง ก็ทำให้เกิดผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ นอกจากนี้วิตามินอี ยังทำหน้าที่สำคัญ เกี่ยวกับระบบประสาท เลือด และเนื้อเยื่อกล้ามเนื้ออีกด้วย
ถ้าน้อยเกินไป : หายากที่จะขาดวิตามินอี เพราะวิตามินอีพบได้ในอาหารที่หลากหลาย แต่อาจเกิดขึ้นกับทารกที่คลอดก่อนกำหนด เพราะโดยปกติแล้วในสัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ จะมีการถ่ายโอนวิตามินอี จากแม่สู่ลูกมากที่สุด แต่เมื่อไม่สามารถรอจนถึงสัปดาห์สุดท้ายได้ การถ่ายโอนวิตามินอีให้ลูกย่อมมีผลกระทบ ทำให้เม็ดเลือดของลูกไม่มีวิตามินอี มาคอยปกป้อง อาจทำให้เด็กมีภาวะโลหิตจาง นอกจากนี้การขาดวิตามินอี ยังเกิดได้กับคนที่มีปัญหาด้านการดูดซึมไขมัน ทำให้มีไขมันไม่เพียงพอให้วิตามินอีรวมตัวด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบประสาท
ถ้ามากเกินไป : ไม่มีอาการที่แน่ชัด แต่ก็มีรายงานอาการที่เคยพบคือ การมองเห็นไม่ชัด ท้องเสีย เวียนหัว ปวดหัว อาเจียน ปวดท้อง เมื่อยล้า อ่อนแอ
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : มีการแบ่งชนิดของวิตามินดี ตามกลุ่มของสารที่เรียกกันว่า tocopherals โดยจะมีความแตกต่างกันในแต่ละชนิด แต่จะใช้ชนิด alpha-tocopherol equivalents เป็นมาตรฐาน โดยแนะนำให้ได้รับวิตามินอี 15 alpha-tocopherol equivalents ต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบมากที่สุดในจมูกข้าว และน้ำมันจมูกข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเมล็ดฝ้าย รวมถึงในอาหารที่มีมาการีน มายองเนส น้ำสลัด ถั่ว เมล็ดพืช ถั่วลิสง และเนยถั่ว พบรองลงมาคือ เมล็ดธัญพืช ข้าวโพด ตับวัว ผักใบเขียว เนื้อปลา และไข่
.
Vitamin K
หน้าที่ : เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เพื่อหยุดการเลือดออก แล้วยังช่วยร่างกายสร้างโปรตีนสำหรับเลือด กระดูก และไต
ถ้าน้อยเกินไป : หายากที่จะขาด แต่ถ้าขาดวิตามินเค จะทำให้กระทบกับการแข็งตัวของเลือด เลือดออกง่าย เลือดไหลไม่หยุด และการช้ำเลือด นอกจากนี้ ยังพบได้ในผู้ที่ขาดสารอาหาร หรือเรียกว่า “โรคตาลโขมย” มักพบในคนติดเหล้า คนที่มีโรคในช่องท้อง ในลำไส้ใหญ่ พังผืด ลำไส้สั้น หรืออาจมีการใช้ยาบางอย่าง ที่ทำให้วิตามินเคลดลง เช่นยาที่ไปเปลี่ยนแปลงการทำงานของตับ หรือยาที่ไปทำลายแบคทีเรียที่ผลิตวิตามินเคในลำไส้
ถ้ามากเกินไป : ยังไม่มีข้อมูลอาการที่แน่ชัด
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : ไม่มีกำหนดปริมาณ
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ในผู้ชาย 120 ไมโครกรัม ผู้หญิง 90 ไมโครกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : วิตามินเค ถูกผลิตขึ้นได้จากแบคทีเรียในลำไส้อยู่แล้ว แต่ก็ยังสามารถพบได้มากที่สุดในอาหารพวก ผักใบเขียว เช่น ผักชม และบล็อคโคลี่ รวมถึงเนื้อหมู ตับ โฮลวีท ข้าวโอ๊ต และรำข้าว พบรองลงมาเช่น ผลไม้ ผักต่างๆ เมล็ดพืช พืชหัว นม และไข่
.
.
วิตามินที่ละลายเฉพาะในน้ำ
Thiamin (vitamin B-1)
หน้าที่ : เกี่ยวกับการสร้าง และการใช้ประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรท
ถ้าน้อยเกินไป : อาจทำให้เป็นโรคเหน็บชา โดยมีสัญญาณจากการไม่อยากอาหาร ท้องผูก กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวด รู้สึกชาตามแขนขา เท้าบวม มีอาการซึมเศร้า มีปัญหาทางความจำ หายใจสั้น หัวใจเต้นเร็ว นอกจากนี้ยังเกิดได้กับคนติดแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้การดูดซึม Thiamin ผิดปกติ
ถ้ามากเกินไป : อาจทำให้เกิดอาการแพ้สำหรับบางคนเท่านั้น แต่ในคนทั่วไปสามารถขับออกได้
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : ยังไม่มีการกำหนดปริมาณ
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ในผู้ชายต้องการ 1.2 มิลลิกรัมต่อวัน ในผู้หญิงต้องการ 1.1 มิลลิกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบมากที่สุดในเนื้อหมู ถั่วฝัก ตับ จมูกข้าว พบรองลงมาในเมล็ดธัญพืชที่ขัดสีน้อย หรือไม่ขัดสี และยังพบได้บ้างในสัปปะรด ผลไม้ประเภทส้ม มะนาว ผักขม มะเขือเทศ กล้วย ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืช ถั่วลิสง
.
Riboflavin (vitamin B-2)
หน้าที่ : มีส่วนร่วมในกระบวนการเผาผลาญ จำเป็นต่อการทำงานของเนื้อเยื่อและเซลล์
ถ้าน้อยเกินไป : อาจมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ผิวหนังแห้งตกสะเก็ด เป็นแผลที่มุมปาก ลิ้นบวมแดง คอบวม และเลือดจาง
ถ้ามากเกินไป : ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัด
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ในผู้ชายต้องการ 1.3 มิลลิกรัมต่อวัน ในผู้หญิงต้องการ 1.1 มิลลิกรัม
แหล่งอาหาร : พบมากที่สุดในตับ นม ชีส ผลิตภัณฑ์จากนม พบรองลงมาคือ ไข่ เนื้อสัตว์ และพบได้บ้างในเมล็ดธัญพืช ผักใบเขียว หน่อไม้ฝรั่ง บล็อคโคลี่ ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วฝัก แต่แสงยูวี และแสงแดด สามารถทำลาย riboflavin ได้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องเก็บนมไว้ในพลาสติกหรือกระดาษทึบแสง
.
Niacin(vitamin B-3)
หน้าที่ : ช่วยเผาผลาญ และปลดปล่อยพลังงาน ของคาร์โบไฮเดรทและไขมัน และมีส่วนเกี่ยวข้อง กับการสร้างโปรตีน และไขมัน Niacin ช่วยให้เซลล์แข็งแรง ระบบทางเดินอาหาร ผิวหนัง และระบบประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ
ถ้าน้อยเกินไป : อาจเป็นโรค Pellagra คือมีอาการท้องเสีย มีความผิดปกติทางผิวหนัง อาการทางจิต และโรคซึมเศร้า
ถ้ามากเกินไป : อาจทำให้ผิวหนังบวม ชา คัน การย่อยอาหารไม่ดี ความดันต่ำ ปวดท้อง มีปัญหาเกี่ยวกับตับ หรืออาจมีแผลง่าย ส่วนใหญ่หมอจะให้ Niacin ร่วมกับยาลดโคเลสเตอรอล ให้ปรึกษาหมอทันทีที่มีอาการปวด หรือผิดปกติ
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 35 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ในผู้ชายควรได้รับ 16 มิลลิกรัมต่อวัน ในผู้หญิงควรได้รับ 14 มิลลิกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบมากที่สุดในเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก และเนื้อปลา พบรองลงมาคือ เห็ด ถั่วลิสง พืชตระกูลถั่ว ถั่วเปลือกแข็ง พบได้บ้างในเมล็ดพืช นอกจากนี้ Niacin ยังสามารถผลิตขึ้นจาก กรดอะมิโนทริปโตแฟนในร่างกายได้ด้วย
.
pyridoxine (vitamin B-6)
หน้าที่ : ช่วยเกี่ยวกับการสลายพันธะของโปรตีน คาร์โบไฮเดรท และไขมัน ช่วยให้ กรดอะมิโนทริปโตแฟนเปลี่ยนเป็น Niacin และ serotonin โดยที่ serotonin จะเป็นตัวส่งสัญญาณให้สมอง และ Niacin จะช่วยผลิตอินซูลิน แอนติบอดี้ และ ฮีโมโกลบิน
ถ้าน้อยเกินไป : อาจทำให้เม็ดเลือดอ่อนแอ มีอาการของโรคซึมเศร้า ทำลายประสาท ชัก รู้สึกเลี่ยน ผิวหนังตกสะเก็ด และมีแผลในปาก
ถ้ามากเกินไป : อาจทำให้ระบบประสาทถูกทำลาย
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 100 มิลลิกรัม ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ในผู้ชายอายุ 19-50 ปี ควรได้รับ 1.3 มิลลิกรัม อายุ 51 ปีขึ้นไปควรได้รับ 1.7 มิลลิกรัม สำหรับในผู้หญิงอายุ 19-50 ปีควรได้รับ 1.3 มิลลิกรัม อายุ 51 ปีขึ้นไปควรได้รับ 1.5 มิลลิกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบมากที่สุดใน กากน้ำตาล จมูกข้าว รำข้าว ถั่วเหลือง ข้าวกล้อง พบรองลงมาใน เนื้อสัตว์ เนื้อลูกวัว เนื้อแกะ เนื้อไก่ เนื้อปลา และเนื้อหมู พบได้บ้างใน กล้วย ถั่วลิม่า กะหล่ำปลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต แครอท มันฝรั่ง และถั่วเมล็ดแห้ง
.
Folic Acid ( folacin หรือ folate)
หน้าที่ : ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เม็ดเลือดแข็งแรง ช่วยเกี่ยวกับการสังเคราะห์เซลล์ นิวเคลียส DNA RNA
ถ้าน้อยเกินไป : ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดไม่เพียงพอ ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อย ส่งผลต่อการเติบโตของเซลล์ ผู้หญิงระหว่างตั้งครรภ์ถ้าได้รับ folic acid ไม่พอใน3เดือนแรกของการตั้งครรภ์ จะกระทบต่อทารกด้านระบบประสาท
ถ้ามากเกินไป : อาจส่งผลให้ร่างกายขาด vitamin B-12 ไปด้วย แล้วอาจไปขัดขวางยาบางอย่าง อาจทำให้มีอาการนอนไม่หลับ อารมณ์หงุดหงิด
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 1,000 ไมโครกรัมต่อวันทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย 400 ไมโครกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบได้มากที่สุดใน ตับ และผักใบเขียว พบรองลงมาคือ ถั่วลิม่า หน่อไม้ฝรั่ง บล็อคโคลี ถั่วเปลือกแข็ง ธัญพืช ข้าว ขนมปัง มักกะโรนี ก๋วยเตี๋ยว ซีเรียล ส้ม น้ำส้ม และถั่วเลนทิล
.
Cobalamin (vitamin B-12)
หน้าที่ : ทำงานร่วมกับ folic acid ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง วิตามินบี12 ช่วยให้ระบบประสาทแข็งแรง ช่วยให้ร่างกายใช้กรดไขมัน และกรดอะมิโนบางตัวได้
ถ้าน้อยเกินไป : อาจนำไปสู่โรคเลือดจาง อ่อนล้า ระบบประสาทถูกทำลาย มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะ ลิ้น หรือผิวเซนซิทีฟง่าย การได้รับ folic acid น้อยเกินไป อาจทำให้ขาดวิตามินบี12ได้ด้วย หรือบางคนที่เป็นโรคเลือดจางอย่างรุนแรง ซึ่งจะมีปัญหาการดูดซึมวิตามินบี12จากลำไส้ ปัญหานี้อาจแก้ได้ด้วยการฉีดวิตามินบี12เข้าไปแทน (กินก็ไม่ดูดซึม เลยฉีดเข้าเส้นเลือดไปเลย) สำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติ จะไม่ทานเนื้อสัตว์ ก็อาจทำให้ขาดวิตามินบี12 ได้ด้วย นอกจากนี้ผู้สูงอายุ ก็มีโอกาสขาดวิตามินบี12 เพราะการดูดซึมลดลง10-30% จึงเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เลือดจาง และประสาทเสื่อมในผู้สูงอายุ ทั้งนี้การได้รับจากอาหารเสริมก็สามารถลดความเสี่ยงนี้ได้
ถ้ามากเกินไป : ยังไม่มีอาการที่แน่นอน
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : ยังไม่มีกำหนดปริมาณที่แน่นอน
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งในผู้ชายและผู้หญิงควรได้รับ 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบมากที่สุดในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เครื่องในสัตว์ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อปลา สัตว์ปีก ไข่ นม รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆที่มักเสริมวิตามินบี12ด้วย
.
Biotin
หน้าที่ : ช่วยสร้างพลังงานแก่เซลล์ ช่วยเผาผลาญโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรท แล้วยังมีส่วนร่วม ให้เอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญ ทำงานอย่างปกติได้
ถ้าน้อยเกินไป : ถ้าทานอาหารสุขภาพเป็นประจำก็จะไม่ขาด แต่ถ้าขาดก็อาจจะมีอาการ ผิดปกติทางหัวใจ ไม่อยากอาหาร เมื่อยล้า ซึมเศร้า ผิวหนังแห้ง น้ำตาลในเลือดลดลงขณะมื้ออาหาร เลือดเกิดภาวะเป็นกรด และมีแอมโมเนียในเลือดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้สารเคมีในไข่ขาวดิบ ยังเป็นตัวยับยั้งการดูดซึม Biotin ด้วย ดังนั้นควรทานไข่ที่สุก
ถ้ามากเกินไป : ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : ยังไม่มีการกำหนดปริมาณ
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ควรได้รับ 30 ไมโครกรัม
แหล่งอาหาร : พบได้ใน ไข่ ยีสด์ทำขนมปัง ซีเรียล ช็อคโกแลต ถั่วลิสง ดอกกะหล่ำ ถั่วเปลือกแข็ง ฝักถั่ว และเห็ด อีกทั้งยังพบได้บ้างในนม นอกจากนี้ แบคทีเรียในลำไส้ ก็สามารถผลิต Biotin ได้ด้วย
.
Pantothenic Acid
หน้าที่ : ช่วยให้ร่างกายนำคาร์โบไฮเดรท โปรตีน และไขมัน ไปใช้ประโยชน์ได้ เพื่อสร้างพลังงานให้เซลล์ นอกจากนี้ ยังมีส่วนร่วมในการผลิตแอนติบอดี้ การทำงานของต่อมหมวกไต การเผาผลาญและการเจริญเติบโต
ถ้าน้อยเกินไป : ถ้าทานอาหารสุขภาพเป็นประจำก็จะไม่ขาด
ถ้ามากเกินไป : มีอาการท้องเสีย ทำให้ขาด Thiamine ไปด้วย
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : ยังไม่มีการกำหนดปริมาณ
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ควรได้รับ 5 มิลลิกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบได้หลากหลายในทั้งในสัตว์และพืช พบมากที่สุดใน เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก เนื้อปลา เมล็ดธัฐพืช พืชตระกูลถั่ว ไข่ พบรองลงมาใน บล็อคโคลี ดอกกะหล่ำ เห็ด รำข้าว มันหวาน มันฝรั่ง ถั่วลิม่า ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วฝัก ข้าวโอ๊ต และชีส
.
Vitamin C
หน้าที่ : ช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทำให้โครงสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก และเนื้อเยื่ออื่นๆ ยึดเกาะกันอย่างแข็งแรง วิตามินซียังช่วย ซ่อมแซม และรักษาเซลล์เม็ดเลือด กระดูก และเนื้อเยื่ออื่นๆอีกด้วย มันจะทำให้ผนัง และหลอดเหลือดมีความยืดหยุ่น ซึ่งช่วยป้องกันการช้ำ นอกจากนี้ ยังช่วยดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชได้ด้วย แล้วยังช่วยรักษาแผล ช่วยให้เหงือกมีสุขภาพดี ป้องกันการติดเชื้อ โดยการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ถ้าน้อยเกินไป : อาจนำไปสู่ โรคลักปิดลักเปิด (scurvy) ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เหงือกบวม และเลือดออกตามไรฟัน ฟันหักง่าย ช้ำ เลือดออกใต้ผิวหนัง แผลหายยาก เหนื่อยง่าย ซึมเศร้า
ถ้ามากเกินไป : วิตามินซีที่เหลือใช้ จะถูกขับออกจากร่างกายโดยอัตโนมัติทันที ต้องได้รับวิตามินซีในปริมาณที่มากจริงๆ ถึงจะทำให้เกิดนิ่วในไต และอาการท้องร่วงได้
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 2,000 มิลลิกรัม ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ผู้ชายควรได้รับ 90 มิลลิกรัม และผู้หญิงควรได้รับ 75 มิลลิกรมต่อวัน สำหรับคนที่สูบบุหรี่ จำเป็นต้องได้รับวิตามินซีเพิ่มขึ้นเป็น2 เท่า หรือมากกว่านั้น
แหล่งอาหาร : พบมากที่สุดใน ผลไม้ตระกูลส้ม (ส้ม , เกรฟฟรุ๊ต ,ส้มเขียวหวาน ,มะนาว) สตรอเบอร์รี่ พริกไทย กีวี่ แคนตาลูป พบรองลงมาใน ผักใบเขียว ดอกกะหล่ำ มะเขือเทศ มันฝรั่ง สัปปะรด
.
สรุปจาก sparkpeople.com
บทความแนะนำ ปริมาณวิตามินที่ควรได้รับ
กลับหน้า สารบัญลดน้ำหนัก