แร่ธาตุน่ารู้
ถ้าพูดถึง “แร่ธาตุ” บางคนอาจนึกไปถึง หินแร่ เหล็ก ทองแดง ตะกั่ว ดูไม่น่าจะเป็นของที่กินได้เลย แต่แร่ธาตุจัดอยู่ในสารอาหาร 5 หมู่ ที่ควรได้รับเป็นประจำทุกวัน แร่ธาตุมีหน้าที่หลักคือ ช่วยให้กระบวนการ และระบบต่างๆของร่างกาย ทำงานไปอย่างเป็นปกติ เช่น
- การเต้นของหัวใจ
- การแข็งตัวของเลือด
- มีส่วนช่วยควบคุมความดันของสารน้ำในร่างกาย
- การตอบโต้ทางประสาท
- ขนส่งออกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ
แร่ธาตุทั้งหลายมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับกระดูก และเนื้อเยื่ออ่อน ถึงแม้ว่ามันจะมีอยู่ในร่างกายเพียงแค่ 4%ของน้ำหนักตัวทั้งหมด แต่แร่ธาตุก็ถือว่าเป็นสารอาหารที่ขาดไม่ได้เด็ดขาด นอกจากนี้ แร่ธาตุยังมีความเสถียรสูง โดยไม่ถูกทำลายง่ายๆด้วยแสง น้ำ ความร้อน หรือกระบวนการแปรรูปต่างๆ
ชนิดของแร่ธาตุ
แร่ธาตุแบ่งออกตามความต้องการของร่างกาย ได้ 2 ประเภทหลักๆ คือ
Major minerals หรือ Macrominerals หรือ “แร่ธาตหลัก”
เป็นกลุ่มแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณมาก คือมากกว่า 250 มิลลิกรัมต่อวัน ได้แก่ แคลเซี่ยม , ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม รวมถึงแร่อิเล็กโทรไลท์ ได้แก่ โซเดียม , คลอไรด์ , ซัลเฟอร์ และโพแทสเซียม แร่อิเล็กโทรไลท์ต่างๆ จะต้องอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกันตลอดเวลา ซึ่งช่วยควบคุมการเคลื่อนที่ของของเหลว และสารสื่อประสาท
Trace Minerals หรือ Trace Elements หรือ “แร่ธาตุรอง”
เป็นกลุ่มแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อย คือน้อยกว่า 20 มิลลิกรัมต่อวัน แร่ธาตุรองเหล่านี้ จะไม่สามารถอยู่ในรูปแบบอิสระ แต่มันจะต้องเกาะตัวกับอย่างอื่น เกิดเป็นสารประกอบ ขึ้นอยู่กับการขนส่ง การเก็บรักษา และหน้าที่ เช่น Zincoxide (Zinc+Oxigen) แร่ธาตุเหล่านี้แม้ร่างกายเราจะต้องการไม่มาก แต่มีความต้องการที่หลากหลาย
.
Major Minerals
-
Calcium
หน้าที่ : แร่ธาตุแคลเซียม ถือว่าเป็นแร่ธาตุที่มีปริมาณสูงที่สุด ในบรรดาแร่ธาตุทั้งหมด แคลเซียมช่วยสร้างความแข็งแรงให้กระดูก ทั้งด้านความยาว และความหนาแน่นของกระดูก รวมถึงเนื้อฟันด้วย ร่างกายคนเรามีแคลเซียมอยู่ประมาณ 2-3 ปอนด์(0.9-1.35 กิโลกรัม) ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่ มันก็คือน้ำหนักกระดูก และฟัน แคลเซียมบางส่วน จะอยู่ในกระแสเลือด ช่วยเกี่ยวกับการหดตัวของกล้ามเนื้อ และหัวใจ ระบบประสาท และการแข็งตัวของเลือด
ถ้าน้อยเกินไป : สำหรับในเด็ก การขาดแคลเซียมจะไปกระทบต่อการเจริญเติบโต และความสูง ส่วนในผู้ใหญ่ การขาดแคลเซียมจะทำให้กระดูกอ่อนแอ กระดูกเปราะ อาจเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้
ถ้ามากเกินไป : ในระยะยาว แคลเซียมจะค่อยๆไปสะสม อยู่ในอวัยวะอ่อนต่างๆ ทำให้เกิดนิ่วในไต หรือไตเสื่อมสภาพ
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 2500 มิลลิกรัมต่อวัน
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง อายุ 19 – 50 ปี ควรได้รับแคลเซียม 1000 มิลลิกรัมต่อวัน และต้องการมากขึ้นเป็น 1200 มิลลิกรัมต่อวันเมื่อมีอายุ51ปีขึ้นไป
แหล่งอาหาร : นม และผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว ปลาซาดีน ปลาที่สามารถกินรวมก้างได้ หรือกินได้ทั้งตัว พืชตระกูลถั่ว หอย อัลมอนด์ นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม เต้าหู้ ถั่วเหลือง
.
-
Phosphorus
หน้าที่ : แร่ธาตุฟอสฟอรัส เป็นส่วนประกอบหลักของกระดูกและฟัน มีมากเป็นอันดับสอง รองจากแคลเซียม นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานเป็นปกติ
ถ้าน้อยเกินไป : ในอาหารส่วนใหญ่ จะมีฟอสฟอรัสอยู่แล้ว เป็นไปได้ยากที่จะขาด
ถ้ามากเกินไป : ทำให้แคลเซียมลดลงตามด้วย ส่งผลต่อการสูญเสียมวลกระดูก
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 4000 มิลลิกรัมต่อวัน(สำหรับอายุ19-70ปี) และไม่ควรเกิน 3000 มิลลิกรัมต่อวัน (สำหรับอายุ 71ปีขึ้นไป)
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ควรได้รับฟอสฟอรัส 700 มิลลิกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : ที่พบมากที่สุดคือใน เนื้อสัตว์ ปลา สัตว์ปีก และไข่ รองลงมาคือ นม ชีส และผลิตภัณฑ์จากนม นอกจากนี้ยังพบได้บ้างใน เมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี และพืชตระกูลถั่ว
.
-
Magnesium
หน้าที่ : แร่ธาตุแมกนีเซียม เป็นส่วนประกอบหนึ่งของเอนไซม์ มากกว่า 300 ชนิดในร่างกายของเรา เอนไซม์เหล่านี้ จะช่วยเกี่ยวกับการทำหน้าที่ต่างๆของร่างกาย , สร้างพลังงาน , สร้างโปรตีน และกล้ามเนื้อ แมกนีเซียมพบได้ในเนื้อเยื่อทุกส่วน แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในกระดูก
ถ้าน้อยเกินไป : โดยปกติจะไม่ค่อยเกิดปัญหาการขาดแมกนีเซียม แต่จะสามารถเกิดได้ในผู้ที่ติดแอลกอฮอล์ , ผู้ป่วยหลังผ่าตัด และโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติในการดูดซึมแมกนีเซียม(โรคที่หายาก) เมื่อร่างกายขาดแมกนีเซียมจะมีอาการ อ่อนเพลีย อาเจียน หัวใจเต้นผิดปกติ และมีอาการทางจิต
ถ้ามากเกินไป : ทำให้มีอาการท้องเสีย และไปรบกวนระบบประสาท
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 350 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย (ปริมาณสูงสุดดังกล่าวเป็นปริมาณจำกัดที่ได้รับจากยา หรืออาหารเสริมเท่านั้น แต่ไม่มีจำกัดในอาหารจากธรรมชาติ)
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : สำหรับผู้ชาย อายุ19-30 ปี ต้องการ 400 มิลลิกรัมต่อวัน และ 31 ปีขึ้น ไปต้องการ 420 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับผู้หญิง อายุ 19-30 ปี ต้องการ 310 มิลลิกรัมต่อวัน และ 31 ปีขึ้นไป ต้องการ 320 มิลลิกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : ที่พบมากที่สุดคือ ในจมูกข้าว และรำข้าว ที่พบรองลงมาคือ เมล็ดพืชต่างๆ ถั่ว พืชตระกูลถั่ว และ ผักใบเขียว
.
-
Chloride
หน้าที่ : ช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในและนอกเซลล์ เป็นส่วนประกอบของกรดในกระเพาะเพื่อใช้ในการย่อยอาหาร และดูดซึมสารอาหาร นอกจากนี้คลอไรด์ยังช่วยเป็นสารสื่อประสาทอีกด้วย
ถ้าน้อยเกินไป : คลอไรด์ กับโซเดียม เมื่อรวมตัวกัน มันก็คือ โซเดียมคลอไรด์ หรือ “เกลือ” ที่เรากินนั่นเอง ดังนั้นยากมากที่เราจะขาดคลอไรด์ แต่หากมีการอาเจียน หรือท้องเสีย ก็จะทำให้ขาดคลอไรด์ได้ ซึ่งจะทำให้มีอาการเวียนหัว อ่อนเพลีย กล้ามเนื้อเป็นตะคริว
ถ้ามากเกินไป : ผู้ที่มีโรคความดันสูง โรคไต โรคหัวใจ ควรจำกัดปริมาณคลอไรด์อย่างเคร่งครัด
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : ทั้งในผู้หญิงและผู้ชายคือ 5.8 กรัมต่อวัน
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งผู้หญิง และผู้ชาย ควรได้รับ โซเดียมคลอไรด์ (เกลือ) 3.8 กรัมต่อวัน (หรือประมาณ 1ช้อนชาครึ่ง)
แหล่งอาหาร : เกลือที่เราใช้ปรุงอาหาร อาหารที่มีรสชาติเค็ม โดยที่เกลือ 1/4 ช้อนชา จะมีคลอไรด์ 750 มิลลิกรัม
.
-
Potassium
หน้าที่ : แร่ธาตุโพแทสเซียม ช่วยสร้างความสมดุล ให้กับสารน้ำในร่างกาย ทั้งใน และนอกเซลล์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความดันเลือด การส่งสัญญาณถึงระบบประสาท และระบบกล้ามเนื้อกับระบบหัวใจ
ถ้าน้อยเกินไป : อาจเป็นปัจจัยหนึ่งในการทำให้ความดันเลือดสูง ส่วนใหญ่การขาดโพแทสเซียม มักเกิดหลังจากการท้องร่วง อาเจียน การใช้ยาระบาย คนที่มีปัญหาทางไต ก็ทำให้เกิดการสูญเสียโพแทสเซียมได้ง่าย อาการของการขาดโพแทสเซียมคือ อ่อนเพลีย ไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ กล้ามเนื้อล้าอ่อนแรง
ถ้ามากเกินไป : ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยพบว่ามากเกินไป แต่สำหรับคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับไต หากเกิดภาวะที่ร่างกายไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกได้ ก็จะมีปัญหาต่อหัวใจตามมา แต่สำหรับคนทั่วไปยังไม่มีระดับที่บ่งบอกว่ามากเกินไป
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง ควรได้รับโพแทสเซียม 4.7 กรัมต่อวัน แต่คนส่วนใหญ่จะได้รับกันแค่ 2.1 – 3.2 กรัมต่อวัน เท่านั้น
แหล่งอาหาร : ที่พบมากที่สุดคือใน ผลไม้แห้ง , ถั่ว , ผักใบเขียว , เห็ด , รำข้าว , จมูกข้าว , มันเทศ , กล้วย , ส้ม ที่พบรองลงมาคือ ในผักและผลไม้ , เนื้อสัตว์ , ปลา ,สัตว์ปีก และพืชตระกูลถั่ว
.
-
Sodium
หน้าที่ : แร่ธาตุโซเดียม ส่วนใหญ่จะอยู่ในน้ำเลือด คอยควบคุมความสมดุล ของสารน้ำทั้งใน และนอกเซลล์ โซเดียมช่วยให้กล้ามเนื้อ และหัวใจคลายตัว และช่วยเกี่ยวกับการส่งสัญญาณทางประสาท และควบคุมระบบความดันเลือด
ถ้าน้อยเกินไป : คลอไรด์ กับโซเดียม เมื่อรวมตัวกัน มันก็คือ โซเดียมคลอไรด์หรือ “เกลือ” ที่เรากินนั่นเอง ดังนั้น ยากมากที่เราจะขาดคลอไรด์ แต่หากมีการอาเจียน หรือท้องเสีย ก็จะทำให้ขาดคลอไรด์ได้ ซึ่งจะทำให้มีอาการเวียนหัว อ่อนเพลีย กล้ามเนื้อเป็นตะคริว
ถ้ามากเกินไป : ในคนทั่วๆไป ถ้าโซเดียมมากเกินไป ก็จะถูกขับออกได้ แต่สำหรับผู้ที่มีโรคไต จะทำให้มีปัญหาในการขับโซเดียมออก ทำให้น้ำถูกกักไว้ในเซลล์มากเกินไป ส่งผลให้ตัวบวม และเกิดความดันเลือดสูง
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : ทั้งในผู้หญิง และผู้ชายคือ 2.3 กรัมต่อวัน และโซเดียมคลอไรด์(เกลือ)สูงสุดไม่ควรเกิน 5.8 กรัมต่อวัน
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ควรได้รับโซเดียม 1.5 กรัมต่อวัน แต่เราจะได้รับโซเดียมในรูปของ โซเดียมคลอไรด์(เกลือ) ดังนั้น ควรได้รับโซเดียมคลอไรด์ (เกลือ) 3.8 กรัมต่อวัน (หรือประมาณ 1ช้อนชาครึ่ง)
แหล่งอาหาร : เกลือปรุงอาหาร อาหารที่มีรสเค็ม โดยที่เกลือ1/4 ช้อนชา จะมีโซเดียมอยู่ 500 มิลลิกรัม นอกจากนี้ ยังสามารถได้รับโซเดียม จากแป้งขนมปัง และผงชูรสอีกด้วย
.
-
Sulfate
หน้าที่ และความต้องการ : มักทำงานร่วมกับโปรตีน และเป็นส่วนประกอบของกรดอะมิโน ไธอามีน และไบโอติน แร่ธาตุซัลเฟต มักพบได้ในอาหารประเภทโปรตีน แต่ยังไม่มีการกำหนดปริมาณที่แนะนำในการบริโภค
.
Trace Minerals
-
Arsenic
หน้าที่และความจำเป็น : ถึงจะเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ แต่ยังไม่พบหน้าที่ทางชีวภาพ และยังขาดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อยู่
-
Boron
หน้าที่และความจำเป็น : ถึงจะเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ แต่ยังไม่พบหน้าที่ทางชีวภาพ และยังขาดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อยู่
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 20 มิลลิกรัมต่อวัน
-
Chromium
หน้าที่ : แร่ธาตุโครเมียม จะทำงานร่วมกับอินซูลิน ช่วยในการเก็บน้ำตาล แล้วยังทำหน้าที่เกี่ยวกับ การดูแลสุขภาพหัวใจ และหลอดเลือดอีกด้วย
ถ้าน้อยเกินไป : จะมีภาวะคล้ายเบาหวาน
ถ้ามากเกินไป : หายากที่จะได้รับมากเกินไปจากอาหารทั่วไป และยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับอาการ และปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ผู้ชายอายุ 19-50 ปี ต้องการ 35 ไมโครกรัมต่อวัน และอายุ 51 ปีขึ้นไปต้องการ 30 ไมโครกรัมต่อวัน สำหรับผู้หญิงอายุ19-50 ปี ต้องการ 25 ไมโครกรัมต่อวัน และอายุ 51 ปีขึ้นไป ต้องการ 20 ไมโครกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบได้มากที่สุดในเมล็ดธัญพืช , เนื้อสัตว์ ,ไข่ , ชีส , เห็ด , หน่อไม้ฝรั่ง , brewer’s yeast (ยีสชนิดหนึ่ง)
-
Copper
หน้าที่ : มีส่วนในการสร้างฮีโมโกลบิน ซึ่งจำเป็นสำหรับการส่งถ่ายออกซิเจนในเม็ดเลือดแดง อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์หลากหลายชนิด แร่ธาตุทองแดงนี้ ยังช่วยสร้างพลังงานให้แก่เซลล์อีกด้วย
ถ้าน้อยเกินไป : หายากที่จะได้รับน้อยเกินไป แต่สามารถพบได้ในผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม และพบได้ในผู้ที่ทานธาตุเหล็ก(zinc) มากเกินไป เพราะธาตุเหล็ก จะไปขัดขวางการดูดซึมของธาตุทองแดง
ถ้ามากเกินไป : หายากที่จะได้รับมากเกินไป
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 10,000 ไมโครกรัม ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย ควรได้รับ 900 ไมโครกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบมากที่สุดในเนื้อสัตว์ , อาหารทะเล , ถั่ว , เมล็ดพืช , เมล็ดถั่วแห้ง , ถั่วฝัก นอกจากนี้การปรุงอาหารในหม้อทองแดง ก็ทำให้ได้รับธาตุทองแดงนี้เพิ่มขึ้นด้วย
-
Fluoride
หน้าที่ : ช่วยเคลือบฟันให้แข็งแรง ลดการผุกร่อน ฟลูออไรด์ยังช่วยรักษาแคลเซียมในกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรงอีกด้วย
ถ้าน้อยเกินไป : สารเคลือบฟันอาจจะอ่อนแอเปราะบาง
ถ้ามากเกินไป : ฟันอาจมีคราบ กระดำกระด่าง
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 10 มิลลิกรัมต่อวัน
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งผู้หญิง และผู้ชาย ควรได้รับ 4 มิลลิกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบมากที่สุดในน้ำแร่ อาหารเสริม ยาสีฟัน
-
Iodine
หน้าที่ : แม้คนเราต้องการไอโอดีนในปริมาณน้อยมาก แต่ก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งของฮอร์โมน“ไทรอกซิน” ซึ่งเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ผลิตจากต่อมไทรอยด์ ไทรอกซินเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการใช้พลังงานของร่างกาย
ถ้าน้อยเกินไป : ทำให้ไม่สามารถผลิดไทรอกซินได้อย่างเพียงพอ ร่างกายก็จะเผาผลาญพลังงานได้ช้าลง ส่งผลให้น้ำหนักขึ้น ต่อมไทรอยด์อาจใหญ่ขึ้น หรือรู้จักกันในนาม “โรคคอพอก” นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร และความผิดปกติทางผิวหนัง แต่ถ้าใช้เกลือที่มีไอโอดีน ก็ยากที่จะขาดแร่ธาตุนี้
ถ้ามากเกินไป : โรคคอพอกสามารถเกิดได้ด้วยเหมือนกัน ถ้าได้รับไอโอดีนมากเกินไป เพราะการได้รับไอโอดีนที่มากเกินไปนานๆ มันจะไปกดการทำงานของต่อมไทรอยด์ได้
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 1,100 ไมโครกรัมต่อวัน ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย ควรได้รับ 150 ไมโครกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบได้มากที่สุดในปลาทะเล สาหร่าย และเกลือไอโอดีน รวมถึงพืชที่ขึ้นตามชายฝั่งอีกด้วย ซึ่งการทานเกลือไอโอดีนวันละ 1ช้อนชาครึ่ง เป็นปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการแล้ว
-
Iron
หน้าที่ : เป็นส่วนประกอบจำเป็นของฮีโมโกลบิน ซึ่งฮีโมโกลบินนี้ จะช่วยขนส่งออกซิเจนไปสู่เซลล์ทั่วร่างกาย แต่จะพบมากที่สุดในเม็ดเลือด , ตับ , ม้าม และ ไขกระดูก
ถ้าน้อยเกินไป : นำไปสู่โรคโลหิตจาง ,ความเมื่อยล้า ,ความอ่อนแรง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ถ้ามากเกินไป : การที่เกิดภาวะธาตุเหล็กในเลือดมากเกินไป อาจเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เรียกว่า “Hemochromatosis” และการได้รับธาตุเหล็กจากยาเม็ด (ที่เราเรียกว่ายาบำรุงเลือด)
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 45 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ผู้ชายควรได้รับ 8 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้หญิงอายุ19 – 50 ปี ควรได้รับ 18 มิลลิกรัม(มีประจำเดือน) อายุ 51 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 8 มิลลิกรัมต่อวัน(หมดประจำเดือน)
แหล่งอาหาร : สามารถพบธาตุเหล็กได้ทั้งในสัตว์(Heme Iron หรือ ธาตุเหล็กที่มีฮีม) และในพืช(non-Heme Iron หรือ ธาตุเหล็กที่ไม่มีฮีม) (Heme อ่านว่า ฮีม คือกรดอะมิโนที่จับกับธาตุเหล็ก มักอยู่ในเม็ดเลือดแดง) การทานอาหารที่มีวิตามินซี ร่วมกับธาตุเหล็ก จะทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น อีกทั้งการทำอาหารในกะทะเหล็ก ก็มีโอกาสได้รับธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น ส่วนในอาหารมักพบได้ในตับ และอวัยวะภายในของสัตว์ , หอยนางรม และพบรองลงมาคือผักขม , ถั่วเมล็ดแห้ง , ถั่วฝัก อีกทั้งยังพบได้บ้างในเนื้อสัตว์ หอยต่างๆ ไข่แดง ถั่วเปลือกแข็ง ผลไม้แห้ง ผักใบเขียว ,เมล็ดธัญพืช สัตว์ปีก และปลา
-
Manganese
หน้าที่ : เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลายชนิด และมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์ไขมัน และคาร์โบไฮเดรท อีกทั้งยังจำเป็นต่อการพัฒนาของเส้นเอ็น , โครงสร้างกระดูก และตับอ่อน รวมถึงมีการเกี่ยวข้องกับการหดตัวของกล้ามเนื้อด้วย
ถ้าน้อยเกินไป : หายากที่จะขาด เพราะในอาหารเต็มไปด้วยแร่ธาตุแมกนีเซียม
ถ้ามากเกินไป : ยากที่จะได้รับมากเกินไป
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 11 มิลลิกรัม ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ในผู้ชายควรได้รับ 2.3 มิลลิกรัมต่อวัน และในผู้หญิงควรได้รับ 1.8 มิลลิกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบมากที่สุดในเมล็ดธัญพืช , ถั่วเมล็ดแห้ง , ถั่วฝัก , ถั่วเปลือกแข็ง , ผลไม้บางชนิด และผัก อีกทั้งยังพบบ้างใน ใบชา , กานพลู
-
Molybdenum
หน้าที่ : ทำงานร่วมกับไรโบฟลาวิน(วิตามินบี2) เพื่อรวมตัวกับธาตุเหล็กในฮีโมโกลบิน เพื่อสร้างเม็ดเลือดแดง ธาตุโมลิบดีนัมยังเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ต่างๆอีกด้วย
ถ้าน้อยเกินไป : หายากที่จะขาด แต่ถ้าร่างกายขาดก็จะส่งผลกระทบต่อเอนไซม์ต่างๆ
ถ้ามากเกินไป : การมีแร่ธาตุโมลิบดีนัมมากเกินไป มันจะไปแทรงแซงการใช้ทองแดงของร่างกาย (นำธาตุทองแดงไปใช้ประโยชน์ไม่ได้)
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 2000 ไม่โครกรัมต่อวัน
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย ควรได้รับ 45 ไมโครกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบมากในนม , เนื้อสัตว์ ,พืชตระกูลถั่ว , ขนมปัง และ ธัญพืช
-
Nickel
หน้าที่และความจำเป็น : ยังไม่มีความแน่ชัด แต่อาจจะเป็นปัจจัยร่วมกับ metalloenzymes (เกี่ยวกับการทำหน้าที่ร่วมกันของเอนไซม์ชนิดหนึ่ง) และยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดในการขาดนิกเกิล
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 1 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย
-
Selenium
หน้าที่ : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี เพื่อปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ที่อาจนำไปสู่โรคมะเร็ง , โรคหัวใจ และปัญหาสุขภาพอื่นๆ
ถ้าน้อยเกินไป : อาจจะกระทบกับการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และการทำหน้าที่ของต่อมไทรอยด์
ถ้ามากกินไป : หายากที่จะได้รับเกิน
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 400 ไมโครกรัม ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย ควรได้รับ 55 ไมโครกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบมากในอาหารทะเล ,ตับ ,ไต และเนื้อสัตว์ สำหรับในพืชพบได้ในธัญพืช เมล็ดพืชต่างๆ แต่ปริมาณก็แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับดินที่ปลูกด้วย
-
Silicon
หน้าที่และความจำเป็น : ยังไม่แน่ชัดเกี่ยวกับหน้าที่ แต่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดในเรื่องปริมาณ
-
Vanadium
หน้าที่และความจำเป็น : ยังไม่แน่ชัดเกี่ยวกับหน้าที่
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 1.8 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย
-
Zinc
หน้าที : ส่งเสริมเซลล์สืบพันธ์ุ และช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ช่วยให้การเติบโตเป็นไปตามปกติ ธาตุสังกะสี มีส่วนร่วมในการควบคุมความอยากอาหาร และการรับรู้รสชาติ รวมถึงการรักษาบาดแผล อีกทั้งยังเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์มากว่า 70 ชนิด และยังช่วยให้ร่างกาย ใช้ประโยชน์จากคาร์โบไฮเดรท โปรตีน และไขมัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้าน้อยเกินไป : การขาดธาตุสังกะสีระหว่างการตั้งครรภ์ จะส่งผลต่อสติปัญญาของเด็กได้ หรืออาจทำให้เด็กเป็นโรคปัญญาอ่อน สำหรับคนทั่วไปอาจทำให้มองไม่ชัดในที่มืด และการรักษาแผลไม่มีประสิทธิภาพ ส่วนอาการอื่นๆก็เช่น สูญเสียความอยากอาหาร รสชาติอาหารผิดแปลก การรับรู้กลิ่น ผิวหนังผิดปกติ และการติดเชื้อง่าย
ถ้ามากเกินไป : ไม่ค่อยพบว่าได้รับมากเกินไป แต่ถ้ามากเกินไปก็ส่งผลต่อการดูดซึมธาตุทองแดงให้บกพร่องได้
ปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกิน : 40 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน : ในผู้ชายควรได้รับ 11 มิลลิกรัมต่อวัน ในผู้หญิงควรได้รับ 8 มิลลิกรัมต่อวัน
แหล่งอาหาร : พบมากที่สุดใน เนื้อสัตว์ , หอยนางรม , สัตว์ปีก , พืชตระกูลถั่ว , ไข่ ,ปลา และอาหารทะเล พบรองลงมาคือ จมูกข้าว เมล็ดธัญพืช black-eyed peas(ถั่วฝักชนิดหนึ่ง) และมิโซะ
.
แอดมินแปล และสรุปตามความเข้าใจจาก sparkpeople.com
บทความแนะนำ ปริมาณวิตามินที่ควรได้รับ , แร่ธาตุกับการลดน้ำหนัก
กลับหน้า สารบัญลดน้ำหนัก